Studio Lighting

  1. แสงหลัก (Main Light) ปกติจะวางด้านหน้าเฉียงไปทางด้านซ้ายหรือขวา ประมาณ 45 – 60 องศา เป็นไฟหลักที่ใช้ส่องกระจายเข้าหาแบบ และสร้างอารมณ์ด้วยความเข้มของการส่องสว่างให้กับแบบตามโจทย์ที่ช่างภาพต้องการนำเสนอ
  2. แสงรอง หรือแสงลบเงา (Fill-in Light) ไฟดวงนี้มักจะวางด้านหน้าของแบบตรงข้ามกับไฟหลัก เฉียงด้านซ้ายหรือขวา ประมาณ 30 – 60 องศา โดยมีความแตกต่าง ของกำลังไฟรองกับไฟหลัก ประมาณ 1 : 2 – 1 : 9 หรือประมาณ 1 – 3 1/3 Stops ใช้เพื่อลบเงาที่หน้า และตัวแบบที่เกิดจากไฟหลักให้ลดน้อยลงตามที่ช่างภาพ ต้องการ
  3. แสงส่องผม (Hair Light) เป็นไฟส่องผมเพื่อเปิดให้เห็นรายละเอียด และสร้างมิติให้กับแบบ เป็นไฟที่ถูกวางอยู่ในมุมสูงเหนือศีรษะเยื้องไปทางด้านหลังในทิศทางตรงข้าม กับไฟหลักเล็กน้อย ปกติจะถูกออกแบบให้มีกำลังไฟมากกว่าไฟหลักเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสีของผมของแบบด้วย ถ้าเป็นสีดำสนิท ก็ควรจะเพิ่มกำลังไฟให้มากกว่าไฟหลัก ประมาณ 1 Stop แต่ถ้าเป็นผมสีโทนอ่อน หรือสีบลอนด์อย่างฝรั่งชาติตะวันตก อาจจะใช้กำลังไฟเท่ากับไฟหลักก็ยังได้
  4. แสงส่องฉาก (Background Light) เป็นไฟส่องฉากหลัง เพื่อเปิดให้เห็นรายละเอียดของฉากหลัง หรือใช้เพื่อสร้างมิติเป็นการแยกระยะห่างระหว่างตัวแบบกับฉากหลังก็ได้ ปกติมักใช้ไฟจำนวน 2 ดวง เพื่อเกลี่ยแสงที่ฉากให้เท่ากันทั้ง 2 ด้าน
  5. แสงส่องแบบ (Back Light) เป็นไฟที่ใช้ส่องเข้ามาที่ตัวและศีรษะของแบบ ซึ่งโดยปกติจะเป็นภาพในแนวแฟชั่น แฟนซี ถูกออกแบบเพื่อสร้างอารมณ์ในลักษณะเพิ่มเสน่ห์ และความเซ็กซี่ให้กับแบบ

ตามหลักการจัดแสงโดยใช้ชุดไฟสตูดิโอ บริเวณด้านหน้าของชุดไฟแฟลชจะติดอุปกรณ์กระจายแสง ซึ่งสามารถให้ความเข้มของแสงได้ 2 ลักษณะ คือ

  1. แสงแข็ง (Hard Light) ลักษณะของแสงจะเป็นแสงที่มาอย่างมีทิศทาง ทำให้เกิดเงาแข็งในด้านตรงข้าม เปรียบได้กับแสงจากดวงอาทิตย์ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ภาพที่ได้จะมีความเปรียบต่างสูงมาก พื้นที่ในส่วนสว่างจะเห็นรายละเอียดชัดเจน แต่พื้นที่ในส่วนตรงข้ามกับวัตถุจะเป็นเงาดำเข้ม
  2. แสงกระจาย หรือแสงนุ่ม (Diffuse Light) เป็นแสงที่มาอย่างไม่มีทิศทาง ภาพที่ได้จะมีความนุ่มนวล ทำให้ไม่มีเงาเข้ม

อุปกรณ์ที่ใช้ในการกระจายแสง มีดังนี้

  1. ร่มสะท้อนแสง (Umbrella) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สะท้อนแสงแบบกระจายกว้าง ตามขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของร่ม แบ่งตามวัสดุที่ใช้ในการกระจายแสง ได้ 3 ประเภท คือ
  2. กล่องแสงนุ่ม (Soft box) ใช้สวมเข้าหน้าหัวไฟแฟลช ช่วยกระจายแสงให้มีความนุ่มนวลกว่าแบบไฟร่ม กล่องแสงนุ่มมีหลายขนาด ทั้งแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส และแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า และในปัจจุบัน ผู้ผลิตบางรายได้มีการผลิตกล่องแสงแบบแปดเหลี่ยม ให้ใช้กันด้วย ซึ่งทั้งนี้จะให้ผลลัพธ์ (Effect) ที่ดวงตา และการกระจายแสงที่แตกต่างกันไป
  3. โคมสะท้อนแสง (Reflector) ให้แสงแข็ง ที่มีความเปรียบต่างสูง ตกลงเฉพาะส่วน โดยโคมที่ยิ่งมีความลึกมากก็จะให้แสงแข็ง
    ที่เป็นลำแคบ มากกว่าแบบโคมตื้น
  4. รังผึ้ง (Honeycomb Grid) เป็นอุปกรณ์ทรงกลมที่มีแผ่นกรองแสงลักษณะเหมือนรังผึ้ง ใช้สำหรับสวมหน้าโคมสะท้อนแสง ให้แสงที่ค่อนข้างแข็ง
  5. สนูท (Snoot) ใช้สำหรับสวมหน้าหัวไฟเพื่อควบคุมให้แสงส่องเป็นลำในทิศทางที่ต้องการ ปกตินิยมใช้เป็นแสงส่องผม หรือแสงส่องฉาก ให้แสงแข็ง

ทิศทางของแสงต่างกัน จะมีผลต่ออารมณ์ การแสดงรายละเอียด และความเปรียบต่างของแสงและเงาในภาพแตกต่างกันไป

  1. แสงหน้าตรง ให้ภาพสว่างเห็นรายละเอียดทั่วทั้งภาพ แต่จะดูแบน ขาดมิติ
  2. แสงเฉียงหน้า 45 องศา จะให้รายละเอียดเฉพาะด้านที่แสงส่อง ส่วนด้านตรงข้ามจะเกิดเงาแข็งแต่ก็จะช่วยให้ภาพดูมีมิติ
  3. แสงข้าง หน้าจะได้รับแสงเห็นรายละเอียดเพียงครึ่งเดียว ช่วยสร้างอารมณ์ให้แบบดูมีพลัง เข้มแข็ง
  4. แสงหลัง แสงมาจากด้านหลังของแบบ ให้แสงสว่างที่ผมและบริเวณขอบตัวทางซ้ายและขวาของแบบ แต่ด้านหน้าจะมืด สร้างอารมณ์ให้ภาพดูลึกลับ หรือมีเสน่ห์ได้จากตัวอย่างการจัดแสงในทิศทางต่างๆ ที่เห็นถือเป็นหลักการเบื้องต้นในการจัดไฟถ่ายภาพบุคคลด้วยชุดไฟสตูดิโอ ฉบับหน้าผมจะเจาะลึกในรายละเอียดการจัดไฟถ่ายภาพด้วยชุดไฟหลายดวงเพื่อสร้าง สรรค์ภาพให้แบบดูสวยงามมากขึ้น

ที่มา  :  bpsthai / o2blog

Share:

Related Post

ร่วมแสดงความคิดเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.