สำหรับขุมพลังใหม่ 2 ทางเลือก ซึ่งไฮไลต์อยู่ที่ บล็อก 4B10 ขนาด 1.8 ลิตร FFV ถือเป็นรถยนต์เฟลกฟิวรุ่นแรกที่ผลิตจำนวนมากเพื่อการขายในประเทศไทย รองรับได้ทั้งน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลล์ทุกชนิดจนถึง E85 ให้กำลังสูงสุดที่ 139 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที
ขณะที่บล็อก 4B11 ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC MIVEC รองรับทั้งเบนซิน 91 95 แก๊สโซฮอล์ E10 และ E20 ให้กำลังสูงสุด 154 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 198 นิวตัน-เมตร ที่ 4,250 รอบต่อนาที
โดยเครื่องยนต์ทั้งสองรุ่นยังผ่านมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 4 ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้า อย่างเสื้อสูบอลูมิเนียม ฝาครอบวาล์วแบบพลาสติกพิเศษ พร้อมโครงสร้างการวางท่อร่วมไอเสียไว้ด้านหลัง และการติดตั้งแผ่นสแตนเลสครอบท่อร่วมไอเสียโดยรอบเพื่อป้องกันความร้อน มาพร้อม MIVEC ระบบวาล์วแปรผันที่ควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วทั้งไอดีและไอเสียให้แปรผัน สัมพันธ์กับอัตราเร่งในทุกๆรอบเครื่องยนต์และทุกสภาพการขับขี่ จึงให้ทั้งสมรรถนะและการประหยัดน้ำมัน
ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT พร้อมติดตั้งระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS-III แบบ 6 จังหวะ เติมเต็มอารมณ์สปอร์ต และเร้าใจด้วยฟังก์ชั่น Sport Mode ให้การปรับเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลและแม่นยำ เหมาะสมในทุกรอบความเร็วของเครื่องยนต์
นอกจากนี้รถทุกรุ่นยังติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกและปลอดภัยอัจฉริยะ Mitsubishi Motors ETACS (Electric Total Automobile Control System) ซึ่งควบคุมระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบปิดไฟหน้าและไฟในห้องโดยสารอัตโนมัติ ระบบสัญญาณกันขโมย ระบบกุญแจป้องกันการโจรกรรม (immobilizer) และระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ภายในรถ
พร้อมด้วยเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ระบบเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติพร้อมระบบผ่อนแรง ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกด้วยดิสก์เบรกขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับล้อ ขนาด15 นิ้วขึ้นไป สำหรับรุ่น GLS-Ltd. รุ่น GLS และ GLX และรองรับล้อขนาด 16 นิ้วขึ้นไปสำหรับรุ่น GT
ที่มา : Autospinn / Mitsubishi