เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รองประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เข้าพบนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อร่วมประชุมหารือเรื่องกลุ่มบุคคลต่างพื้นที่เข้าไปบุกรุกที่ดินของราษฏรบ้านเมืองใหม่ โดยมีนายอดุลย์ ชูทอง ปลัดอำเภอถลาง หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รองประธานอนุกรรมการ กล่าวว่า ด้วยคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฯ ได้รับการร้องเรียนจากนายฤทธิวงศ์ วงศ์ชุมพิศ ราษฎรบ้านเมืองใหม่ หมู่ที่ 5 ตำบลเทพกระษัตรี ได้ร้องเรียนว่ามีกลุ่มบุคคลจากต่างพื้นที่บุกรุกเข้าไปในที่ดินของบิดา คือนายบำรุง วงศ์ชุมพิศ ซึ่งเป็นที่ดินมีหลักฐานการครอบครองการทำประโยชน์ (นส.3 ก.) เลขที่ 14 หมู่ที่ 5 ตำบลเทพกระษัตรี และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส.3) เลขที่ 59 หมู่ที่ 5 โดยผู้บุกรุกได้ตัดโค่นต้นไม้แบ่งขายที่ดินออกเป็นส่วน ๆ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงทางอนุกรรมการฯ จึงได้มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ รวมทั้งมีการหารือกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และรับทราบข้อมูลรายละเอียดตลอดจนความคืบหน้าในการแก้ปัญหา
ด้าน นายอดุลย์ ชูทอง ปลัดอำเภอถลาง กล่าวว่า ในการประชุมหารือในครั้งนี้ ทางอำเภอถลางซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบพบว่ามีบุคคลต่างพื้นที่เข้ามาบุกรุกที่ดินของ นายบำรุง จำนวน 44 ราย โดยมีนายละม่อมเป็นผู้แบ่งที่ดินออกเป็นส่วนๆ ให้ทั้ง 44 รายนี้ โดยจากการออกหนังสือเพื่อเชิญตัวมาให้ข้อมูลรายละเอียดแก่หน่วยงาน พบว่ามีผู้ให้ความร่วมมือแค่ 13 ราย แต่อีก 31 รายนั้น ยังไม่ได้ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ นายอดุลย์ ยังยอมรับว่า การดำเนินงานของหน่วยงานราชการในพื้นที่ การดำเนินงานยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เพราะเกิดจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เข้ามาแทรกแซงการทำงาน พร้อมทั้งมีการขู่เจ้าพนักงาน ทำให้เจ้าพนักงานเกิดความวิตกกังวลในความปลอดภัยของตน จึงไม่มีใครกล้าเข้ามาแก้ปัญหาคลี่คลายในเรื่องนี้เท่าที่ควร จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมแก้ปัญหากับส่วนราชการในพื้นที่ เพื่อให้ปัญหาสามารถคลี่คลายไปได้ ตลอดจนก่อให้เกิดความยุติธรรมกันทั้งสองฝ่าย