นายสมิทธิ์ ปาลวัฒน์วิไชย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า ได้รับคำสั่งคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 10/2552 ซึ่งลงนามคำสั่งโดย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคำสั่ง ณ วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่น
สืบเนื่องจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในการประชุมครั้งที่ 5/ 2552 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 พิจารณาให้ สินค้าลวดดัดฟันแฟชั่นเป็นสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค และเป็นกรณีที่ไม่อาจป้องกันอันตรายที่เกิดจากสินค้านั้น โดยการกำหนดฉลากตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2552 หรือกฎหมายอื่นได้ จึงมีมติให้มีคำสั่ง ห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่นเป็นการถาวร ดังนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 36 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งตามมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ ที่ 12/2549 เรื่อง ห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่นเป็นการชั่วคราว และให้ยึดคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 10/2552 แทนคือ ห้ามขายสินค้าลวดดัดแฟชั่น
ทั้งนี้ มาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2552 กำหนดไว้ว่า ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดขายสินค้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งห้ามขาย เพราะสินค้านั้นอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคตามมาตรา 36 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้ประกอบธุรกิจนั้นเป็นผู้ผลิตเพื่อขาย หรือเป็นผู้สั่ง หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ